วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

ประวัติส่วนตัว

ชื่อ  นางสาวจีรภา  เมืองชื่น


ชื่อเล่น แนน

สัญชาติ  ไทย

ชื้อชาติ  ไทย

สถานภาพ   โสด

เกิดวันที่  28  มีนาคม  พ.ศ.2527

จบจาก    มหวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

เอกวิชา   ภาษาอังกฤษธุรกิจ

ความสามารถพิเศษ
 1. ร้องเพลง
 2. ใช้โปรแกรม microsoft  office
   
ประวัติการทำงาน
1. Golden pine ersort and spa {changrai}
2. โรงเรียนดรุณราชวิทยา  อ.แม่สาย จ.เชียงราย
3. โรงเรียนบ้านหวาย  จ.เชียงราย

แผนการสอนภาษาอังกฤษชั้นป.5

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1  English For Socials And Cultures
เรื่อง Greeting and Leave taking เวลา 2 ชั่วโมง
1.มาตรฐานการเรียนรู้หรือจุดประสงค์การเรียนรู้
การกล่าวคำทักทายและการกล่าวคำลา เป็นวัฒนธรรมที่ดีอย่างหนึ่งที่ผู้เรียนจะต้องมีทักษะพื้นฐานจากคำ ประโยค และหลักไวยากรณ์ จึงจะทำให้เลือกใช้ให้ถูกต้องตามสถานการณ์
2.สาระการเรียนรู้
การกล่าวคำทักทายและการกล่าวคำลา เป็นวัฒนธรรมที่ดีอย่างหนึ่งที่ผู้เรียนจะต้องมีทักษะพื้นฐานจากคำ ประโยค และหลักไวยากรณ์ จึงจะทำให้เลือกใช้ให้ถูกต้องตามสถานการณ์
Words : Hi , Hello , just , fine , sick , see , tomorrow ,glad , meet well , thank.
Conversation : Hi , Hello , Good morning /afternoon / evening.
Good bye , See you tomorrow.
How are you ? , I’m fine . Thank you .
He/ She/ We / They / is / are fine .
Grammar S + Verb to be + adjective
ตัวอย่างประโยคถามตอบ
Sam : Hello Manop. How are you today ?
Manop :Hello Sam . I’m fine thank you, and you ?
Sam : Fine. Thank you.How is your mother ?
Manop : She’s fine. Thank you.
Sam : Good bye Manop.
Manop :Good bye Sam. See you again tomorrow.
Sam : See you again tomorrow
3.ผลการเรียนรู้คาดหวังรายปี
1. นักเรียนสามารถ ฟัง พูด คำทักทายและคำกล่าวลาได้ถูกต้อง ตามบริบทของวัฒนธรรม และระดับภาษาที่เรียนได้
2. กล่าวทักทายและกล่าวลากันได้ถูกต้องตามสถานการณ์
4. การวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ที่คาดหวัง (พฤติกรรมที่ระบุไว้ในผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง)
1. ด้านความรู้ (K) กล่าวทักทายและกล่าวลากันได้ถูกต้องตามสถานการณ์
2. เจตคติ (A) สามารถนำ วิชาภาษาต่างประเทศ มาใช้ในชีวิตประจำวันได้
3. ด้านทักษะ (P) เขียนสถานการณ์จำลองในการกล่าวทักทาย กันได้
5. สาระการเรียนรู้รายปี
สาระที่ 1 : ภาษาเพื่อการสื่อสาร
มาตรฐาน ต. 1.2. : มีทักษะในการสื่อสารทางภาษา แลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร แสดงความ รู้สึก และความคิด เห็นโดยใช้เทคโนโลยี และการจัดการที่เหมาะสมเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
6. กระบวนการจัดการเรียนรู้ (กิจกรรมการเรียนรู้)
1. ทดสอบก่อนเรียน : นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน
2. ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน : แบ่งนักเรียน ออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน โดยให้แต่ละกลุ่มประกอบไปด้วยนักเรียนที่มีศักยภาพการเรียนรู้สูง ปานกลาง และต่ำ เลือกประธานกลุ่มรองประธานกลุ่ม และเลขานุการกลุ่ม พร้อมกับแนะนำลำดับขั้นตอนของการเรียน และบทบาทและหน้าที่ของสมาชิกในกลุ่มให้นักเรียนทราบ
3. นักเรียนร้องเพลง Good morning to you จากแผนภูมิเพลงตามครู จากนั้นนักเรียนร้องพร้อมกัน (ใบงาน)
4. นักเรียนฟังบทสนทนาจากครูสาธิตการอ่าน แล้วฝึกกล่าวคำทักทาย และกล่าวลาด้วยประโยคต่อไปนี้ ตามแถบบันทึกเสียง
Sam : Hello Manop. How are you today ?
Manop :Hello Sam . I’m fine thank you, and you ?
Sam : Fine. Thank you.How is your mother ?
Manop : She’s fine. Thank you.
Sam : Good bye Manop.
Manop :Good bye Sam. See you again tomorrow.
Sam : See you again tomor
5. นักเรียนศึกษาใบความรู้ Sheet study เรื่อง การใช้ Verb to be is am are แล้วนักเรียน ฝึกถาม-ตอบประโยค
A: How is C ?
B: She/ He is fine , well.
A: How are D and E ?
B: They are fine , well.
6. นักเรียนแต่ละกลุ่มฝึกสนทนากันตามขั้นที่ 3 โดยผลัดเปลี่ยนกันเป็น Sam กับ Manop จากนั้นส่งตัวแทนออกมาแสดงบทบาทสมมุติ หน้าห้องตามบทสนทนา หมุนเวียนกันจนครบทุกกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มประเมินผลงานของกลุ่มที่แสดง บทบาทสมมุติ ลงในแบบบันทึกการประเมินผลงานกลุ่ม
7. นักเรียนจับคู่ถาม – ตอบเกี่ยวกับทุกข์ สุข ของเพื่อนคนอื่นในห้อง เพื่อฝึกการใช้ Verb to be.
8. ให้นักเรียน ทำกิจกรรมในใบงานที่กำหนดให้
7. ครูตรวจสอบผลงานจากการ ทำใบงานของนักเรียน
8. ครูตรวจสอบผลงานจากการ ทำใบงานของนักเรียน
9. นักเรียนทำแบบฝึกหลังเรียน แล้วเปรียบเทียบคะแนนทดสอบ ก่อนเรียน/ หลังเรียน
10. ถ้ามีนักเรียนยังไม่เข้าใจผลกผเรียนรู้ ครูสอนซ่อมเสริมให้นักเรียนกลุ่ม ที่ยังไม่เข้าใจ
7.สื่อการเรียนการสอน
1. ประเภทสื่อ
ใบความรู้
ใบงาน
2. วัสดุ / อุปกรณ์
หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศ
แผนภูมิเพลง Good morning to you
บัตรคำศัพท์
3. แหล่งการเรียนรู้
ครู อาจารย์ และเพื่อน
8.การวัดผลและประเมินผล
1. วิธีการวัดและประเมินผล
การสังเกต การตั้งคำภาพ และการตอบคำถาม
ความตั้งใจ
2. เครื่องมือวัดและประเมินผล
ใบความรู้
แบบบันทึกการสังเกต
พฤติกรรม และแบบบันทึกผลงาน
3. เกณฑ์การวัดและประเมินผล
คะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
ตอบถูกต่ำกว่า 3 ข้อ : อ่อนมาก
ตอบถูก 3-4 ข้อ : อ่อน
ตอบถูก 5-6 ข้อ : พอใช้
ตอบถูก 7-8 ข้อ : ดี
ตอบถูก 9-10 ข้อ : ดีมาก
9.การเชื่อมโยงบูรณาการกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น Greeting and Leave taking การสื่อสาร บูรณาการเข้ากับกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
เป็นคนดี ในด้าน ปฏิบัติตามกฎระเบียบได้ เป็นผู้นำและผู้ตามที่ดีรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น (บูรณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา)
10.คุณธรรม จริยธรรมที่สอดแทรก
1. เป็นคนเก่ง ในด้าน กล้าพูดถาม-ตอบเป็นภาษาอังกฤษ ออกเสียงและบอกความหมายของคำศัพท์ได้ สร้างประโยคเกี่ยวกับทักทายและกล่าวลาได้
2. เป็นคนมีความสุข ในด้าน เรียนรู้อย่างสนุกสนาน อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้
ผู้อื่นได้11.ผลการเรียนรู้ สอดคล้องกับมาตรฐานการประกันคุณภาพมาตรฐาน ด้านผลผลิต
มาตรฐาน ต. 1.2. : มีทักษะในการสื่อสารทางภาษา แลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร แสดงความ รู้สึก และความคิด เห็นโดยใช้เทคโนโลยี และการจัดการที่เหมาะสมเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
12.กิจกรรมเสนอแนะ
เพลง Good morning to you.
Good morning to you.Good morning to you.
Good morning .Good morning .
Good morning to you.
How are you to day ?


ใบงานเรื่อง Greeting and Leave taking
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เรื่อง Greeting and Leave taking รายวิชา ภาษาต่างประเทศ
ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 25…. เวลา … นาที/ชั่วโมง ...คะแนน
ชื่อเด็กหญิง/เด็กชาย .............. นามสกุล ........ ห้อง ป.5 /..... เลขที่.....
กำหนดส่งงานวัน.... วันที่.... เดือน.... พ.ศ. ... เวลา ....... น.
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ข้อที่ ต.1.2. : มีทักษะในการสื่อสารทางภาษา แลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร แสดงความ รู้สึก และความคิด เห็นโดยใช้เทคโนโลยี และการจัดการที่เหมาะสมเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
แบบทดสอบ ก่อนเรียน/หลังเรียน นักเรียนใช้ Verb to be ได้ถูกต้อง โดยให้นักเรียนคำไปเติมในช่องว่างให้สมบูรณ์ ให้คุณหนูเลือกเอาคำในกรอบสี่เหลี่ยมนี้นะจ๊ะ is , am , are


1. I...........a student.
2. He.......................a farmer.
3. They.....................in the room.
4. You..............a good man.
5. She.................a fruit seller.
6. What …….she ?
7. Sam and Susan ……………students.
8. A book............on the table.
9. The girls.................under the tree.
10. How…………your father?




เฉลย
1. am
2. is
3. are
4. are
5. is
6. does
7. are
8. is
9. are
10.is

กระดาษคำตอบวิชา ......................................................................ชั้น ......................................
ทดสอบก่อนเรียน / หลังเรียน เรื่อง ….............................................
ชื่อ เด็กชาย / เด็กหญิง .......................................................
เลขที่ ..................ชั้น .......................
ให้นักเรียนคำไปเติมในช่องว่างให้สมบูรณ์
1. I...........a student.
2. He.......................a farmer.
3. They.....................in the room.
4. You..............a good man.
5. She.................a fruit seller.
6. What …….she ?
7. Sam and Susan ……………students.
8. A book............on the table.
9. The girls.................under the tree.
10. How…………your father?

เทคโนโลยี / นวัตกรรมในท้องถิ่นที่นักศึกษาสนใจ เรื่องน้ำข้าวกล้องงอก

สำนักพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าว เผยสูตรน้ำข้าวกล้องงอก ขึ้นโต๊ะเสวย"ในหลวง"ชาวบ้านทำกินเองได้ง่ายราคาไม่แพง สารอาหารครบถ้วน อธิบดีกรมการข้าว รายงาน รมต.เกษตรฯ-ปลัดฯ นำข้าวกล้อง งอกปลุกกระแสให้คนไทยรู้คุณค่าข้าวไทย ช่วยเพิ่มรายได้ชาวนา




ก่อนอื่นเรามารู้จักกับการผลิตน้ำข้าวกล้องงอกกันเถอะ


ข้าวกล้อง หรือผลิตภัณฑ์จากข้าวกล้องแทนข้าวขาว(ข้าวสาร) เนื่องจากข้าวกล้องผ่านกรรมวิธีการสีเพียงครั้งเดียว เพื่อเอาเปลือก(แกลบ)ออกไป ทำให้ข้าวที่เหลือยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว(รำ)อยู่ครบถ้วน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี้ล้วนอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และเส้นใยอาหาร จึงเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าข้าวประเภทอื่นๆ


ข้าวกล้องที่ไม่ได้ผ่านการถนอมคุณค่าอย่างถูกหลักวิชาการ หลังจากกะเทาะเปลือกแล้ว จะเสื่อมสภาพลงทุกๆวินาที ไม่ว่าจะบรรจุในภาชนะพิเศษสูญญากาศ หรือไม่ก็ตาม สาเหตุจากเอนไซน์ไลเปส ในข้าวกล้องจะไปย่อยกรดไขมัน มีผลให้กรดไขมันที่มีในข้าวกล้องเสื่อมสภาพลง จนมีกลิ่นเหม็นหืนในที่สุด นอกจากนี้ปฏิกิริยายังก่อให้เกิดปัญหาอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ร่างกายด้วย

ส่วนข้าวกล้องงอก ถือเป็นนวัตกรรมหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจ เนื่องจากเป็นข้าวกล้องที่ต้องผ่านกระบวนการงอกตามปกติ ในข้าวกล้องจะมีสารอาหาร จำนวนมาก เช่น ใยอาหาร กรดไฟติก วิตามินซี วิตามินอี และสารกาบา ซึ่งช่วยป้องกันโรคต่างๆเช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน ช่วยคุมน้ำหนักตัว เป็นต้น


เมื่อนำข้าวกล้องมาแช่น้ำทำให้งอก จะทำให้ข้าวกล้องมีสารอาหารเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสารกาบา นอกจากจะได้ประโยชน์จากการที่มีปริมาณสารอาหารสูงขึ้นอยู่แล้ว ยังทำให้ข้าวกล้องงอกที่หุงสุกมีเนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่ม รับประทานได้ง่ายกว่าข้าวกล้องธรรมดา จึงง่ายแก่การหุงรับประทานได้โดยไม่ต้องผสมกับข้าวขาว


จากการศึกษาทางกายภาพและทางชีวเคมีพบว่า เมล็ดข้าว ประกอบด้วยเปลือกหุ้มเมล็ด หรือแกลบ ซึ่งจะหุ้มข้าวกล้อง ในเมล็ดข้าวกล้องประกอบด้วย จมูกข้าว หรือ คัพภะ รำข้าว(เยื่อหุ้มเมล็ด) และเมล็ดข้าวขาวหรือเมล็ดข้าวสาร สารอาหารในเมล็ดข้าวประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต เป็นส่วนประกอบหลัก โดยมีโปรตีน วิตามินบี วิตามินอี และแร่ธาตุ ที่แยกไปอยู่ในส่วนต่างๆของเมล็ดข้าว นอกจากนี้ยังพบสารอาหารประเภทไขมัน ที่พบได้ในรำข้าวเป็นส่วนใหญ่


ข้าวเมื่ออยู่ในสภาวะที่มีการเจริญเติบโตจะมีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี การเปลี่นแปลงจะเริ่มขึ้น เมื่อน้ำได้แทรกเข้าไปในเมล็ดข้าว โดยจะกระตุ้นให้เอนไซน์ภายในเมล็ดข้าวเกิดการทำงาน เมื่อเมล็ดข้าวเริ่มงอก สารอาหารที่ถูกเก็บไว้ในเมล็ดข้าวก็จะถูกย่อยสลายไปตามกระบวนการทางชีวเคมี จนเกิดเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรต ที่มีโมเลกุลเล็กลง และน้ำตาลรีดิวซ์ นอกจากนี้โปรตีนภายในเมล็ดข้าวก็จะถูกย่อยให้เกิดเป็น กรดอะมิโนและเปปไทด์ รวมทั้งยังพบการสะสมสารเคมีสำคัญๆ เช่น แกมมาออริซานอล โทโคฟีรอล โทโคไตรอีนอล และโดยเฉพาะสารแกมมาอะมิโนบิวทิริกแอซิด หรือ ที่รู้จักกันว่า สารกาบา หรือ GABA
สารกาบาเป็นกรดอะมิโน จากกระบวนการ decarbory lation ของกรดกลูตาบิก กรดนี้มีความสำคัญในการทำหน้าที่ สารสื่อประสาท ในระบบประสาทส่วนกลางและสารกาบา ยังเป็นสารสื่อประสาท ประเภทสารยับยั้ง โดยจะทำหน้าที่รักษาสมดุลในสมองที่ได้รับการกระตุ้น ช่วยทำให้สมองผ่อนคลาย และนอนหลับสบาย อีกทั้งยังทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นต่อมไร้ท่อ ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต ทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้กล้ามเนื้อกระชับและเกิดสาร lipotropic ป้องกันการสะสมไขมัน


จากการศึกษาและวิจัยพบว่า การบริโภคข้าวกล้องงอก ที่มีสารกาบามากกว่าข้าวกล้องปกติ 15 เท่า จะสามารถป้องกันการทำลายสมอง เนื่องจากสารเบต้าอไมลอยด์เปปไทด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค สูญเสียความทรงจำ( อัลไซเมอร์ ) ดังนั้นจึงได้มีการนำสารกาบา มาใช้ในวงการแพทย์เพื่อการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาทต่างๆ หลายโรคเช่นโรควิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ โรคลงชัก เป็นต้น รวมทั้งผลการวิจัยด้านสุขภาพระบุว่า ข้าวกล้องงอกที่ประกอบด้วย สารกาบา มีผลช่วยลดความดันโลหิต ลดLDL ลดอาการอัลไซเมอร์ ลดน้ำหนัก ทำให้ผิวพรรณดี และใช้บำบัดโรคเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนกลาง


หากประชาชนสนใจที่จะซื้อให้ไปซื้อได้ที่ศูนย์ศิลปาชีพทุกสาขา โดยเฉพาะที่ศูนย์ศิลปาชีพ จ.อุบลราช ธานี จะมีจำหน่ายเป็นจำนวนมาก สำหรับกระแสข่าวนี้ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในเวลาอันรวดเร็ว เพราะคนไทยบริโภคข้าวมาตลอดชีวิต แต่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าการบริโภคที่ถูกต้องจะต้องทำอย่างไรให้คุณค่าทางโภชนาการ และสารอาหารยังอยู่ครบถ้วน โดยเฉพาะในข้าวกล้อง ซึ่งยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวที่เป็นสีน้ำตาลและสีแดง จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครบถ้วน ทั้งวิตามิน เกลือแร่ และแคลเซียม



วิธีทำน้ำข้าวกล้องงอกอย่างง่ายๆ มีขั้นตอนดังนี้เริ่มจากเมล็ดข้าวกล้องใหม่ 100 กรัม หรือ 1 ขีด จะต้องซาวน้ำล้างเอากรวดทรายออกก่อนหนึ่งครั้ง แล้วนำไปแช่น้ำประมาณ 1 ลิตร ทิ้งไว้ประมาณ 5-6 ชม. ก็จะเกิดเป็นตุ่มงอกสีขาวขึ้นมาที่ เมล็ดข้าวพอมองเห็น จากนั้นให้เอาขึ้นนำมาผึ่งให้แห้ง แล้วนำไปต้มใช้ไฟปานกลางให้เดือด แต่อย่าให้เดือดมาก เพราะถ้าร้อนมากเกินไป สารกาบ้าจะถูกทำลายมาก หากเดือดพอดีให้เคี่ยวไปสัก 15-20 นาที สารกาบ้าจะยังอยู่ในข้าวถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นปริมาณเพียงพอต่อร่างกาย




เสร็จแล้วใช้ผ้าขาวบาง หรือกระชอน กรองน้ำออกมาดื่ม เพิ่มรสชาติโดยโรยเกลือป่นให้ออกเค็มเล็กน้อย ก็จะเพิ่มความอร่อย นอกจากความหอมหวานที่มีอยู่ในน้ำข้าวกล้องงอกแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นสูตรที่ศูนย์วิจัยพันธุ์ข้าวปทุมธานี ทำเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายในหลวง ทุก 3 วัน ส่วนการหุงข้าวกล้องให้ได้รสชาติอร่อย นุ่มลิ้น จะต้องนำข้าวกล้องไปแช่น้ำสัก 1 ชั่วโมง ให้เมล็ดข้าวบานออกเล็กน้อยก็หุงได้ทันที จะ ทำให้เมล็ดข้าวนุ่ม น่ารับประทานมาก การหุงข้าว จะทำให้สารกาบ้าถูกทำลายไปประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ แต่กาบ้าที่เหลือก็เพียงพอต่อร่างกายที่จะต้องบริโภคทุกวันอยู่แล้ว แต่ถ้าเราทำให้ข้าวกล้องงอกขึ้นมา จะเพิ่มคุณค่าสารอาหารขึ้นอีก 10 เท่าเลยทีเดียว

 
ส่วนการหุงข้าวกล้องให้ได้รสชาติอร่อย นุ่มลิ้น มีวิธีการดังนี้


จะต้องนำข้าวกล้องไปแช่น้ำสัก 1 ชั่วโมง ให้เมล็ดข้าวบานออกเล็กน้อยก็หุงได้ทันที จะ ทำให้เมล็ดข้าวนุ่ม น่ารับประทานมาก การหุงข้าว จะทำให้สารกาบ้าถูกทำลายไปประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ แต่กาบ้าที่เหลือก็เพียงพอต่อร่างกายที่จะต้องบริโภคทุกวันอยู่แล้ว แต่ถ้าเราทำให้ข้าวกล้องงอกขึ้นมา จะเพิ่มคุณค่าสารอาหารขึ้นอีก 10 เท่าเลยทีเดียว




สูตรทำน้ำข้าวกล้องโดย สำนักพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าว
ข้อมูลจาก

ที่มาจาก http://women.sanook.com/health/know_eat/knoweat_53547.php

ประวัติความเป็นมาของเครื่องคอมพิวเตอร์



เครื่องคอมพิวเตอร์นับได้ว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีความสลับซับซ้อน ( Conplexity ) น่าอัศจรรย์ที่มีความสามารถยิ่ง ซึ่งนับวันจะสูงขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาก้าวไปอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับอดีต คอมพิวเตอร์นับว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีประวัติศาสตร์อันน่าศึกษา เริ่มจากเดิมมนุษย์ดำเนินชีวิตโดยไม่มีการบันทึก จนกระทั่งการพาณิชย์มีการพัฒนาขึ้น พ่อค้าชาวแบบีลอน (Babylonian) ได้มีการจดบันทึกข้อมูลต่างๆ ลงบน clay tablets สำหรับการคำนวณ อุปกรณ์คำนวณในยุคแรกได้แก่ ลูกคิด ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีใช้อยู่
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2185 นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Blaise Pascal ได้สร้างเครื่องกลสำหรับการคำนวณชื่อ pascaline ในปี พ.ศ. 2215 Gottfried Von Leibniz นักคณิตศาสตร์ชาวเยอร์มันได้พัฒนา pascaline โดยสร้างเครื่องที่สามารถ บวก ลบ คูณ หาร และถอดรากได้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดทราบว่ามีความแม่นยำขนาดไหน ต่อมาในปี พ.ศ. 2336 นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ Chales Babbage ได้สร้างดิฟเฟอเรนซ์แอนจิน difference engine ที่มีฟังก์ชันทางตรีโกณมิติต่างๆ โดยอาศัยหลักการทางคณิตศาสตร์ และคิดว่าจะสร้างแอนะลีติคอลเอนจิน (analytical engine ) ที่มีหลักคล้ายเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไปในปัจจุบัน จึงมีผู้ยกย่องว่าเป็นบิดาของคอมพิวเตอร์และเป็นผู้ริเริ่มวางรากฐานคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน
ปี พ.ศ. 2439 Herman Hollerith ได้คิดบัตรเจาะรูและเครื่องอ่านบัตร จนกระทั่วในปี พ.ศ. 2480 Howard Aiken สร้าง automatic calculating machine เพื่อเชื่อมโยงเทคโนโลยีทั้งทาง electrical และ mechanical เข้ากับบัตรเจาะรูของ Hollerith ด้วยความช่วยเหลือของนักศึกษาปริญญาและวิศวกรรมของ IBM สำเร็จในปี พ.ศ. 2487 โดยใช้ชื่อว่า MARK I การทำงานภายในตัวเครื่องถูกควบคุมอย่างอัตโนมัติด้วย electromagnetic relays และ arthmetic counters ซึ่งเป็น mechanical ดังนั้น MARK I จึงนับเป็น electromechanical computers และต่อมา Dr. John Vincent Atanasoff และ Clifford Berry ได้สร้างเครื่อง ABC ( Atanasoft-Berry Computer ) โดยใช้หลอดสูญญากาศ ( vacuum tubes) และในปี พ.ศ. 2483 Dr.John W. Mauchy และ J. Presper Eckert Jr. พัฒนาเพิ่มเติมบนหลักการออกแบบพื้นฐานของ Dr. Atanasoff เพื่อสร้าง electronic computer เครื่องแรกชื่อ ENIAC แต่ยังไม่เป็นคอมพิวเตอร์ชนิดเก็บโปรแกรมได้ ( stored program ) จึงได้รับการพัฒนาเป็นเครื่อง EDVAC ซึ่งอาศัยหลักการ stored program สมบูรณ์และได้มีการพัฒนาเป็นเครื่อง EDSAC และพัฒนาเป็นเครื่อง UNIVAC ( Universal Automatic Computer ) ในที่สุด
ถ้าจะจำแนกยุคของคอมพิวเตอร์ ( Computer generations ) โดยแบ่งตามเทคโนโลยีของตัวเครื่องกับเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลแล้วก็จะพอจะพิจารณาได้คือ
  1. ยุคแรก ใช้เทคโนโลยีของหลอดสูญญากาศ เป็นแบบบัตรเจาะรู
  2. ยุคที่สอง ใช้เทคโนโลยีของทรานซิสเตอร์เป็นแบบเทป ลักษณะเป็นกรรมวิธีตามลำดับ ( Sequential Processing )
  3. ยุคที่สาม ใช้เทคโนโลยีของไอซี (integrated circuit, IC) เป็นแบบจานแม่เหล็กลักษณะเป็นการทำงานหลายโปรแกรมพร้อมกัน ( Multiprogramming ) และออนไลน์ ( on-line)
  4. ยุคที่สี่ ใช้เทคโนโลยีของวงจรรวมขนาดใหญ่ ( Large-scale integration,LSI ) ของวรจรไฟฟ้า ผลงานจากเทคโนโลยีนี้คือ ไมโครโปรเซสเซอร์ ( microprocessor ) กล่าวได้ว่า "Computer on a chip" ในยุคนี้
จากอดีตถึงปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้พัฒนามาอย่างรวดเร็วทำให้วิทยาการด้านคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา กล่าวได้ว่าโลกของวิทยาการคอมพิวเตอร์นั้นมีการเคลื่อนไหวเสมอ ( dynamics) และไม่ค่อยยืดหยุ่น ( rigid ) มากนัก เช่น ถ้ามีความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย บางครั้งอาจเป็นบ่อเกิดปัญหาที่ใหญ่โตมหาศาลได้ นอกจากนี้ยังนับได้ว่าเป็นโลกที่ควบคุมไม่ได้ หรือสามารถจัดการได้น้อย กล่าวคือ ทันทีที่ทำงานด้วยโปรแกรม เครื่องก็ปฏิบัติงานไปตามโปรแกรมด้วยตนเอง ขณะนั้นมนุษย์ไม่สามารถควบคุมได้



แหล่งที่มา : วิทยาการคอมพิวเตอร์เบื้องต้น โดย วรรณวิภา จำเริญดารารัศมี


วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554

น.ส.เอ

     เห็นด้วยกับกับการใช้เทคโนโลยีในการตัดสินการกระทำของแต่ละบุคคล เพราะการกระทำดังกล่าวเป็นกระทำที่อุกอาจ และเกิดจากการประมาท และที่สำคัญคนที่กระทำไม่มีใบขับขี่  ส่วนการใช้เทคโนโลยีในการารเผยแพร่ถือได้ว่าไม่ผิดเลยที่จะถูกโจมตี เพราะปัจจุบันนี้การใช้เทคโนโลยี เป็นสิ่งที่รวดเร็วและทันสมัย ประหยัดเวลาในการค้นคว้าหาข้อมูลชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบันเกี่ยวข้องกับสารสนเทศต่างๆ มากมาย การอยู่รวมกันเป็นสังคมของมนุษย์ทำให้ต้องเสียเวลาในการสื่อสารถึงกัน ต้องติดต่อและทำงานหลายสิ่งหลายอย่างร่วมกันสมองของเราต้องจดจำสิ่งต่างๆ ไว้มากมายต้องจดจำรายชื่อผู้ที่เราเกี่ยวข้องด้วย จดจำข้อมูลต่างๆ ไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในภายหลัง สังคมจึงต้องการความเป็นระบบที่มีรูปแบบชัดเจน เป็นสารสนเทศอย่างหนึ่งที่ใช้งานกันอยู่การสร้างเทคโนโลยีสารสนเทศจึงเป็นเทคโนโลยีแห่งศตวรรษนี้ ที่ใช้ในการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อมูลจำนวนมาก
    ในปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้ทั้งประโยชน์  และโทษแล้วแต่ว่าเราจะนำมาใช้ในทางที่ถูกต้องหรือไม่

ภูชี้ฟ้า

ภูชี้ฟ้า